จารุวณฺโณภิกฺขุ

จารุวณฺโณภิกฺขุ
สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

เข้าปริวาสกรรม 2555

ฮีตที่ 1
บุญเข้ากรรม (บุญเดือนอ้าย)
ความสำคัญและความหมาย
บุญเข้ากรรม  คือบุญที่ทำขึ้นในเดือนอ้าย (เดือนเจียง)  ซึ่งเป็นเดือนแรกของปีที่ชาวอีสานจะต้องประกอบพิธีบุญกันจนเป็นประเพณีซึ่งอาจจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้  พิธีบุญนี้จะเกี่ยวกับพระโดยตรงซึ่งความจริงน่าจะเป็นเรื่องของสงฆ์โดยเฉพาะ  แต่มีความเชื่อกันว่าเมื่อทำบุญกับพระที่ทำพิธีนี้จะทำให้ได้อนิสงส์มาก  ญาติโยมจึงคิดวันทำบุญเข้ากรรมขึ้น


บุญเข้ากรรมที่บอกว่าเป็นบุญสำหรับพระโดยตรงนั้นเพราะเป็นกิจกรรมที่ต้องการทำเพื่อให้พระที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส (อาบัติหนักรองจากปาราชิก)  ซึ่งถือว่าเป็นการครุกาบัติประเภทหนึ่ง ภิกษุเมื่อต้องอาบัตินี้     แล้วจะต้องทำพิธีที่เรียกว่า วุฏฐานพิธีหรือพิธีเข้ากรรมตามที่ชาวพุทธทั่วไปรู้จักกัน


  วุฏฐานพิธีแปลว่าระเบียบอันเป็นเครื่องออกจากอาบัติซึ่งมีพิธีปริวาสมานัตต์  ปฏิกัสสนาและอัพภาน  อันเป็นขั้นตอนและพิธีกรรมเกี่ยวกับการอยู่กรรมของพระ  การเข้ากรรมจัดทำโดยพระสงฆ์เข้าไปอยู่ในเขตหรือที่จำกัดเพื่อทรมานร่างกายให้หายจากกรรมหรือพ้นจากอาบัติที่ได้กระทำและเป็นการชำระจิตใจให้หายจากมัวหมองด้วย  บางแห่งถือกันว่า  เมื่อบวชแล้วจะแทนคุณมารดาได้ก็จะต้องอยู่กรรมเพราะมารดาท่านเคยอยู่กรรมมาแล้ว  ซึ่งชาวอีสานเวลาคลอดลูกใหม่จะต้องนอนผิงไฟ  อาบ  และดื่มน้ำร้อนอยู่กินอย่างคะลำ (ห้ามกินของแสลง)  เป็นการทรมานร่างกายอย่างหนึ่งเรียกว่าการอยู่กรรม
   มูลเหตุและความเป็นมา  ที่พระภิกษุจะต้องมีการเข้ากรรม  มีเรื่องเล่าว่า  ครั้งหนึ่งมี
พระภิกษุรูปหนึ่ง  ล่องเรือไปตามแม่น้ำคงคา  ได้เอามือไปจับใบตะไคร่น้ำขาดเข้าใจว่าเป็นอาบัติเพียงเล็กน้อยจึงไม่ได้แสดงอาบัติ  ต่อมาแม้ว่าพระภิกษุรูปนั้นจะต้องปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าเป็นเวลานานก็ยังคงนึกอยู่เสมอว่า  ตนต้องอาบัติอยากจะใคร่แสดงอาบัติแต่ไม่มีพระภิกษุรับแสดง  ครั้นเมื่อพระภิกษุรูปที่กล่าวมรณะแล้วจึงไปเกิดเป็นนาคชื่อเอรถปัต  จากเหตุเพียงอาบัติเล็กน้อยเพียงเป็นอาบัติเบายังมีกรรมขนาดนี้  ถ้าเป็นอาบัติหนักก็คงต้องบาปมากกว่านี้  ดังนั้นจึงจัดให้มีการอยู่บริวาสกรรมเพื่อให้พ้นจากอาบัติ 


 ชาวอีสานโบราณเชื่อกันว่าพระภิกษุหากได้อยู่กรรมแล้ว  ย่อมจะออกจากอาบัติได้และทำให้บรรลุมรรคผลดังปรารถนาถึงเดือนอ้ายจึงกำหนดให้เป็นเดือนเข้ากรรม  เพื่อให้พระสงฆ์ออกจากอาบัติดังกล่าว

 ขั้นตอนดำเนินการ
            สถานที่  สถานที่สำหรับเข้ากรรมนั้นจะต้องเป็นสถานที่เงียบไม่พลุกพล่านอาจเป็นบริเวณวัดตอนใดตอนหนึ่งก็ได้  มีกุฏิหรือกระต๊อบชั่วคราวเป็นหลัง ๆ สำหรับภิกษุอาศัยระหว่างเข้ากรรมตามลำพังผู้เดียว


   จำนวนพระ  พระสงฆ์เข้ากรรมคราวหนึ่ง ๆ    มีจำนวนเท่าใดก็ได้ก่อนจะเข้ากรรมพระภิกษุรูปใดต้องอาบัติแล้ว  ต้องบอกพระภิกษุสงฆ์สี่รูปให้รับทราบไว้ได้เวลาแล้วจึงเข้ากรรม
        พิธีกรรม  ในหนังสือวินัยมุขกล่าวว่า  พระสงฆ์เข้ากรรมต้องประพฤติมานัตต์  แปลว่า 
นับราตรี”  ครบหกราตรี  แล้วสงฆ์จึงสวดระงับอาบัติเรียกว่า  อัพภาน”  แปลว่า  เรียกเข้าหมู่” 


แต่พระต้องอาบัติแล้วปกปิดไว้ล่วงเลยนานวันเท่าใดต้องอยู่บริวาส  ซึ่งแปลว่า  อยู่ให้ครบวันเท่านั้น”  ก่อนจึงควรประพฤติมานัตต์ได้ต่อไป  ถ้าในระหว่างอยู่ปริวาสต้องครุกาบัติอีกจะต้องกลับอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานันต์ใหม่  เรียกว่า  ปฏิกัสสนา”  แปลว่า  กิริยาชักเข้าหาอาบัติเดิมสำหรับประเพณีนิยมกันในภาคอีสานเกี่ยวกับการเข้ากรรมนี้ปกติอยู่เก้าราตรี  คือ  ตอนสามราตรีแรกเรียกว่า  อยู่ปริวาส


เมื่อจะเข้าปริวาสให้กล่าวคำสมาทานต่อสงฆ์
  โดยกราบพระภิกษุผู้แก่พรรษากว่า  ซึ่งสามารถสวดให้ปริวาสได้รูปหนึ่งว่า  ปริวาสัง  สมาทิยามิ  หรือ  วัตตัง  สมาธิยามิ”  3  หนก็ได้และถ้าไม่อาจอยู่ปริวาสต่อไปได้จะเก็บปริวาสก็กล่าวว่า  ปริวาสัง  นิกขิปามิ  หรือ  วัตตังนิกขิปามิ”  3  หน  ต่อหน้าพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง  และตอนหกราตรีต่อมาเรียกว่า  อยู่มานัตต์”  ซึ่งมีคาถาสวดเพื่อเข้ามานัตต์ต่อหน้าสงฆ์  โดยกราบพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งผู้แก่พรรษา  ซึ่งสามารถสวดให้มานัตต์ได้  โดยกล่าวของสมาทานมานัตต์ต่อแล้วจึงขอสมาทานวัตตังดังนี้  มานัตตัง  สมาทิยามิ  วัตตังสมาทิยามิ”  3  หน  แล้วจึงประพฤติให้ครบหกราตรี  แต่ถ้ามีเหตุอันจำเป็นต้องพักเก็บมานัตต์  จะกว่าคำเก็บมานัตต์ต่อหน้าพระภิกษุผู้แก่พรรษาโดยว่าวัตต์ก่อน  แล้วจึงเก็บมานัตต์ดังนี้  วัตตัง  นิกขิปามิ  มานัตตัง  นิกขิปามิ”  3  หน  ถ้าต้องการเข้ามาอานัตต์ต่ออีก  ก็ขอสมาทานมานัตต์ดังกล่าวแล้ว  เมื่อเข้ากรรมครบกำหนดคือ อยู่มานัตต์ครบหกราตรีแล้ว  จึงอัพภาณ  คือออกจากกรรม  ได้แก่  การออกจากอาบัติสังฆาทิเสสหรืออาบัติหนักขนาดกลาง (ครุกาบัติ)

   ระหว่างเข้ากรรม  การสารภาพความผิดต้องมีสงฆ์  4  รูป  เป็นผู้รับ  ส่วนการออกจากกรรม  ต้องมีพระสงฆ์   20  รูป  ให้อัพภาน  ในจำนวนนี้จะนับพระภิกษุกำลังประพฤติวุฏฐานวิธีเข้าด้วยไม่ได้  การรับภิกษุผู้ต้องอาบัติหนักและได้ถูกทำโทษ  คืออยู่ปริวาสหรือมานัตต์  แล้วให้กลับเป็นผู้บริสุทธิ์โดยพระสงฆ์สวดระงับอาบัตินี้เรียกว่า สวดอัพภาน”  ภิกษุที่ออกจากกรรมแล้วถือว่าเป็นผู้หมดมลทิน  เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง

  สำหรับชาวบ้านที่เกี่ยวข้องกับพิธีเข้ากรรม  จะต้องเป็นผู้ให้ความอุปถัมภ์ด้วยจตุปัจจัยแด่พระภิกษุสงฆ์ตลอดเวลาที่เข้ากรรม  และในวันที่พระภิกษุออกจากกรรมจะต้องมีการทำบุญให้ทาน  เช่น  มีการตักบาตร  ถวายภัตตาหาร  และฟังเทศน์  เป็นต้น  คฤหัสถ์ผู้ใดได้ทำบุญแด่พระภิกษุสงฆ์ในบุญเข้ากรรม  ถือว่าได้กุศลหรืออานิสงส์แรงมาก  บุญเข้ากรรมในปัจจุบันมักจะมีจัดทำเฉพาะบางตำบลหมู่บ้านที่ชาวบ้านยึดมั่นในประเพณีดั้งเดิมจริง ๆ เท่านั้น

    วิพากษ์พิธีกรรมความเชื่อ  ประเพณีบุญเข้ากรรมนั้น  ยังมีข้อที่น่าสังเกตอยู่มาก  เพราะปัจจุบันนี้พิธีกรรมนี้ได้กลายเป็นการจัดงานเพื่อวัตถุประสงค์อื่นมากกว่า  คือแทนที่จะเป็นพิธีการชำระพระผู้ต้องอาบัติให้เป็นผู้บริสุทธิ์ตามพระธรรมวินัย  ซึ่งก่อนที่จะให้มีงานบุญนี้จะต้องมีพระผู้ทำผิดเกิดขึ้นซึ่งเป็นมูลเหตุถือว่าเป็นพระที่บกพร่องทางธรรมวินัย  แต่ปัจจุบันนี้กลับมีการโฆษณาว่าหากทำบุญกับพระดังกล่าวจะได้ผลานิสงส์มาก  ซึ่งเป็นการโฆษณาที่ไม่เป็นไปตามธรรมวินัย  เพราะแท้จริงแล้วพระที่มาเข้ากรรมนั้นเป็นพระที่ทุศีลมาก่อน  แม้จะปลงหรือล้างอาบัติ

 อย่างดีก็แค่กลับเป็นผู้บริสุทธิ์ดังเดิมเท่านั้น  มิได้มีเหตุใดที่จะอ้างได้ว่าผู้ทำบุญด้วยจะมีผลานิสงส์มากดังกล่าว  เพราะความจริงในศาสนามีว่า  มีแต่ทำบุญกับพระสุปฏิปันโน  (ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ)  เท่านั้นก็จะมีผลานิสงส์มาก  การโฆษณาเพื่อชักชวนให้ญาติโยมไปทำบุญมาก ๆ จึงมักจะมีเหตุผลอื่นมากกว่า  หากต้องการให้ญาติโยมได้บุญจริง ๆ  

  และต้องการบอกความจริงในทางศาสนาให้ผู้คนทราบ  ก็น่าจะบอกความจริงว่าทำบุญกับใครอย่างไร  จะได้บุญมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งในทางศาสนามีคำสอนในเรื่องนี้อย่างชัดเจน  อย่างไรก็ตามคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ก็เน้นย้ำสำหรับให้ลูกหลานได้จดจำนำไปปฏิบัติมิรู้ลืมว่า

   “ ฮีตหนึ่งนั้น  เถิงเมื่อเดือนเจียงเข้ากลายมาแถมถ่าย
ฝูงหมู่สังฆเจ้ากะเตรียมเข้าอยู่กรรม
มันหากธรรมเนียมนี้ถือมาตั้งแต่ก่อน
อย่าได้ละห่างเว้นเข็ญสิข้องแล่นนำ  แท้เหล่ว


ความหมาย  คือ  พอถึงเดือนเจียง (เดือนอ้ายภิกษุสงฆ์จะต้องเตรียมพิธีเข้าปริวาสกรรม  เพราะถือเป็นธรรมเนียมประเพณีมาแต่โบราณขออย่าได้ละทิ้งประเพณีนี้  หากไม่แล้วจะทำให้เกิดภัยพิบัติได้  ด้วยคำสอนนี้อีสานจึงนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจนปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น: