จารุวณฺโณภิกฺขุ

จารุวณฺโณภิกฺขุ
สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมวันไหว้ครู

โรงเรียนสุเทพนครวิช
พระปริยัติธรรม  แผนกสามัญศึกษา  กลุ่มที่  ๑๐
 
บทสวดมนต์ไหว้พระก่อนไหว้ครู
(พระอาจารย์กล่าวนำ  นักเรียนทุกรูปว่าตาม)
อะระหัง  สัมมาสัมพุทโธ  ภะคะวา พุทธัง  ภะคะวัน  อะภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต  ภะคะวะตา  ธัมโม                          ธัมมังนมัสสามิ  (กราบ)
สุปฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ             สังฆัง  นะมามิ  (กราบ)
คำไหว้ครู
(ประธานกล่าวนำ)   ปาเจรา  จริยา  โหนติ  คุนุตตรานุสาสกา ฯ
(รับพร้อมกัน)  ข้าขอประณตน้อมสักการ  บูรพคณาจารย์
ผู้กอรปเกิดประโยชน์ศึกษา                     ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา
          อบรมจริยา                                       แก่ข้าในกาลปัจจุบัน
ข้าขอเคารพอภิวันท์                                  ระลึกคุณอนันต์
          ด้วยใจนิยมบูชา                               ขอเดชกตเวทิตา
อีกวิริยพา                                                  ปัญญาให้เกิดแตกฉาน
ศึกษาสำเร็จทุกประการ                  อายุยืนนาน
อยู่ในศีลธรรมอันดี                                  ให้ได้เป็นเกียรติเป็นศรี
          ประโยชน์ทวี                           แก่ข้าและประเทศไทยเทอญฯ
 (เฉพาะประธานกล่าว)    ปญฺญาวุฑฺฒิ  กเร  เต เต   ทินฺโนวาเท  นมามิหํ
 




คำกลอนสอนใจ

คติคำกลอนสอนใจ

คติสอนใจ
ไม่มีใครมาลิขิตชีวิตเราได้นอกจากตัวเราเอง
 If you can dream it, you can do it = ถ้าคุณฝันได้ คุณก็ทำได้ 
ไม่มีอะไรยากเกินไป หากเราคิดว่าเราทำได้
 อย่าเพิ่งท้อแท้ในสิ่งที่ยังไม่พยายาม และอย่าเพิ่งหมดหวังในสิ่งที่ยังไม่เริ่มต้น
 ไม่มีคำว่าสาย ถ้าคิดจะเริ่มต้น 
อย่าพูดว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ทำ 
อย่ากลัวล้มทั้งๆที่ยังไม่เริ่มต้น
 การหนีปัญหาเป็นสิ่งที่ดี แต่การเผชิญหน้ากับมันย่อมดีกว่า 
อย่ากลัวที่จะก้าวไปช้าๆ จงกลัวที่จะหยุดอยู่กับที่ 
อุปสรรคคือความแข็งแกร่ง
ปัญหาคือการฝึกฝน
ความผิดพลาดคือการเรียน
 เวลาไม่เคยหวนกลับ เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขวันวานได้ 
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด (คติคลาสสิกที่สุดและ ^^)
เก็บความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียนสำหรับอนาคต
อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ แล้วก็อย่าบอกว่าเวลาไม่เคยพอ 
ทำวันนี้ให้มีความสุขก็พอ 
อดีตไม่สำคัญ..ปัจจุบันทำให้ดีที่สุด 
คติสอนใจ 
วิธีคิดให้ประสบความสำเร็จของพ่อพระบรมราโชวาท 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
  1.  ขอบคุณข้าวทุกเม็ด  น้ำทุกหยด  อาหารทุกจานอย่างจริงใจ
  2.   อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด  นอกจาก  “ปัญญาและ ความอุตสาหะ
  3.   “เพื่อนใหม่คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน เพื่อนเก่า” “มิตรคืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า
  4.   อ่านหนังสือธรรมะ  ปีละเล่ม
  5.   ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา
  6.   พูดคำว่า  “ขอบคุณให้มาก
  7.   รักษา  “ความลับให้เป็น
  8.   ประเมินคุณค่าของการให้  “อภัย”  ให้สูง
  9.   ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี
10.  ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง  หากมีใครตำหนิ  และรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นจริง
11.  หากล้มลง  จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่
12.  เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว
13.  อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์
14.  ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก  อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน
15.  อย่าหยิ่ง  หากจะกล่าวว่า  “ขอโทษ
16.  อย่าอายหากจะบอกใครว่า  “ไม่รู้
17.  ระยะทางนับพันกิโลเมตร  แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง
18.  เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้  จึงควรทำสิ่งต่าง    อย่างค่อยเป็นค่อยไป
19.  การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย  เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท
20.  คนไม่รักเงิน  คือไม่รักชีวิต  ไม่รักอนาคต
21.  ยามทะเลาะกัน  ผู้ที่เงียบคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี
22.  ชีวิตนี้ฉันไม่เคยทำงานเลยสักวัน  ทุกวันเป็นวันสนุกหมด
23.  จงใช้จุดแข็ง  อย่าเอาชนะจุดอ่อน
24.  เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ  ไม่ใช้หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด
25.  เหรียญเดียวมี 2 หน้า  ความสำเร็จกับความล้มเหลว
26.  อย่าตามใจตนเอง  เรื่องยุ่ง    เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น
27.  ฟันร่วงเพราะมันแข็ง  ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน
28.  อย่าดึงต้นกล้าให้มันโตไว    (อย่าใจร้อน)
29.  ระลึกถึงความตายวันละครั้ง  ชีวิตจะมีความสุข  มีอภัย  มีให้
30.  ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ
31.  จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต  เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด
32.  ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ก็ต้องปีน  “บันไดสูง”  ที่สำคัญในการดำเนินชีวิต
33.  มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต  จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ
34.  หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก  จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม
35.  ระเบียบวินัย  คือ  คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต
คติสอนใจ จากไม้ขีดไฟ เพียงอันเดียว
คติสอนใจ..จากไม้ขีดไฟ เพียงอันเดียว
ชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ
ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเรา
เวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำ
บางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนัก
เพราะนั่น..คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ
เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน
ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น
ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด
ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเรา
บางคน...กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ก็ช่างนานแสนนาน
และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว
จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดา
เมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง
ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ
ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีด
บางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ
ตอนที่ไฟลุกอยู่...อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้
เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุก
โชนอีกครั้งได้ง่ายๆ
ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนรักของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง
เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ
ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว
แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง
เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง
ก็จำเป็นที่จะต้องจากไป
แต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ
ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้
แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้
ให้แก่คนรอบข้างและบางที
ก้านไม้ขีดไฟอันนี้ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต
เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืน
ในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า
ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลืออีกมากมายเหลือเฟือ
แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น
นานวันเข้า..นานวันเข้า
ก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด
พอถึงวันนั้น..
คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้...
นอกจากจะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป...
ขอขอบคุณ : ไม้ขีดไฟหลังบ้าน ที่ช่วยจุดประกายความคิด
ที่ก่อให้เกิดเป็นบทความนี้ขึ้นมา
คติสอนใจ
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า..
จิตของคนเรานั้น เหมือนกับลิง
เราจึงเรียนรู้เรื่องของจิตใจของเราได้มากมายจากพฤติกรรมของลิง
ลิงนั้นเกลียดกะปิ ถ้ากะปิถูกมือมันเมื่อใด
มันจะถูนิ้วกับพื้นจนเลือดไหลเต็มมือจนกว่ากลิ่นกะปิจะหายในที่สุด
จนกลายเป็นว่า กะปิถึงจะร้าย ก็ไม่ร้ายเท่า ความเกลียดกะปิ
ที่มือลิงเป็นแผลเหวอะหวะ ไม่ใช่เพราะกะปิ
หากเป็นเพราะความจงเกลียดจงชังกะปิต่างหาก
สิ่งที่เราเกลียดนั้น
บ่อยครั้งไม่น่ากลัวเท่ากับความเกลียดชังในจิตใจเรา
ความเกลียดชัง หรือพูดให้ถูกก็คือความรู้สึกอยากผลักไส
ซึ่งรวมทั้งความโกรธและความกลัว
แต่นั่นเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของความจริงเท่านั้น
นอกจากความอยากผลักไสแล้ว
ความยึดติดเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องระวังไม่แพ้กัน
กลับมาที่ลิงจอมซนอีกที
ในอินเดีย ลิงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับชาวบ้าน
เพราะชอบขโมยผลไม้ในสวน ชาวบ้านจึงคิดวิธีจับลิง
โดยใช้กล่องไม้ซึ่งมีฝาด้านหนึ่งเจาะรูเล็กๆ พอให้ลิงสอดมือเข้าไปได้
ในกล่องมีถั่วซึ่งเป็นของโปรดของลิงวางไว้เป็นเหยื่อล่อ
วันดีคืนดี ลิงมาที่สวน
เห็นถั่วอยู่ในกล่อง ก็เอามือล้วงเข้าไปหยิบถั่ว
แต่พอถอนมือออกมาก็ติดฝากล่อง
เพราะกำมือของลิงนั้นใหญ่กว่าฝากล่องที่เจาะไว้
ลิงพยายามดึงมือเท่าไรก็ไม่ออก
พอชาวบ้านมาจับ ก็ปีนหนีขึ้นต้นไม้ไม่ได้
เพราะมีมือเปล่าอยู่ข้างเดียว
สุดท้ายก็ถูกคนจับได้
ลิงหาได้เฉลียวใจไม่ว่า เพียงแค่มันคลายมือออกเท่านั้น
มันก็เอาตัวรอดได้
แต่เพราะยึดถั่วไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย จึงต้องเอาชีวิตเข้าแลก
มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่เราใฝ่ฝันอยากได้
จนถึงกับยึดไว้อย่างเหนียวแน่น
เวลาประสบปัญหา
เพียงแค่คลายสิ่งที่ติดยึดนั้นเสียบ้าง ปัญหาก็คลี่คลาย
แต่เป็นเพราะเราไม่ยอมปล่อย
จึงเกิดผลเสียตามมาอย่างมากมาย..ไม่คุ้มกับสิ่งที่ติดยึด
ปัญหาทั้งหลายในชีวิตนั้น
ถ้าเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
มันก็จะบรรเทาไปได้เยอะ
บ่อยครั้งการปล่อยวางไม่เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาเท่านั้น
หากแต่เป็นทางออกจากปัญหาเลยทีเดียว
ความจริงการอยากผลักไสอะไรสักอย่าง ก็เป็นการติดยึดอีกแบบหนึ่ง
ทั้งๆ ที่ลิงพยายามถูกำจัดกลิ่นกะปิไปจากมือ
ก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือมาดมหากลิ่นกะปิซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในหลายๆกรณี ความทุกข์ไม่ได้มาจากไหน
หากมาจากการยึดติดไม่ยอมปล่อย
ดั่งเจ้าลิงหวงถั่ว.